แด่เหงื่อทุกหยาด เลือดทุกหยด ‘เว็บบันทึก 6 ตุลา’ สดุดีความขบถ-หัวเชื้อสังคม มองคนเท่ากัน
เมื่อวันที่ 5 เดือนตุลาคม ในวันครบรอบ 45 ปี เหตุประวัติศาสตร์การเมืองไทย 6 เดือนตุลาคม 2519 แฟนเพจ “บันทึก 6 ตุลา – Documentation of Oct 6” ได้เผยแพร่ข้อเขียนเล่าประวัติศาสตร์ ภายใต้ชื่อชุด “5 ตุลาฯ ตะวันจะมาเมื่อใกล้จะสว่าง” ตอน “แด่เหงื่อทุกหยาดและก็เลือดทุกหยดที่ไม่เคยเสียเปล่า” ผลสำเร็จจากการเคลื่อนไหวช่วงปี 1516 -2519 ที่ประชาชนจำต้องต่อสู้ให้ได้มา ความว่า
ความไม่ชอบธรรมแผ่กระจายไปทุกแห่งหน สะสมและก็ซุกซ่อนมากว่าทศวรรษจนถึงประชาชนทนไม่ได้ เหตุ 14 ตุลาฯ เป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าหากเราไม่ยอมยอมแพ้ ชัยชนะก็ใช่ว่าจะไกลเกินเอื้อม และก็อาจจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับความไม่ยุติธรรมในประเด็นอื่นๆ
ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป กรรมกร เกษตรกร และก็นักเรียนนักศึกษาก็เลยลุกขึ้นมาขยับเขยื้อน จากที่ไม่เคยแผดเสียงก็ได้ส่ง จากที่ส่งอยู่แล้วหลังจากนั้นก็พร้อมที่จะประสานกันให้ดังขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ทำอยู่บนฐานรากสำคัญเป็นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในแบบที่มนุษย์สมควรจะได้รับ
เมื่อมวลชนไม่ลดละความมานะบากบั่น ความทุกข์ยากของหมู่ประชาก็เริ่มได้รับการเอาใจใส่และก็สนองตอบ มากบ้างน้อยบ้างผสมปนเปกันไป และก็หลายๆครั้งก็มีราคาที่จำต้องจ่าย
#5ตุลาตะวันจะมาเมื่อใกล้จะสว่าง เชิญทวนว่าตลอด 3 ปีที่ต่อสู้ การบรรลุเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมมีอะไรบ้าง อะไรบางอย่างเกิดขึ้นและก็สิ้นสุดลง อะไรบางอย่างยังคงนำไปใช้อยู่ บางเรื่องถึงเวลาทวนปรับแต่งให้กับช่วง
ขอขอบคุณมากทุกความมานะบากบั่น ขอเชิดชูทุกความกบฎต่ออำนาจและก็การไม่ยอมรับความนิยมอันไร้เหตุผล ที่เป็นหัวเชื้อให้สังคมแลเห็นคนเป็นคนเสมอกัน
หากแม้จวบจนถึงวินาทีนี้จะมีอีกหลายสิ่งที่ยังคงจำต้องสู้กันต่อก็ตาม
@พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พุทธศักราช 2518@
#ความไม่ปกติที่แทบเป็นปกติ
ค่าจ้างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดำเนินการติดต่อกันกี่ชั่วโมงตามแต่ใจนายโดยไม่มีซึ่งมาตรฐานวันหยุด วันลา และก็เวลาพัก เป็นเรื่องไม่ปกติที่แทบแปลงเป็นเรื่องธรรมดาในตอนต้นศตวรรษ 2500 เนื่องจากว่าเป็นกันแบบงี้แทบทุกหนที่
การถูกกดขี่ของแรงงาน ไม่ได้หมายความเพียงว่านายโรงงานใดโรงงานหนึ่งไม่เอาใจใส่ลูกจ้างเท่านั้น แต่ต้นตอของหัวข้อนี้สาวกลับไปได้ถึงแนวทางของเมืองด้วย
จุดเริ่มแรกของหัวข้อนี้ย้อนไปตั้งแต่ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯที่เริ่มมีนโยบายเกื้อหนุนให้ต่างประเทศลงทุนในประเทศไทย การประกอบกิจการเงินลงทุนต่ำเป็นแรงดึงดูดทุนข้ามชาติได้อย่างดีเยี่ยม และก็หนึ่งในแนวทางที่ทำให้เงินลงทุนต่ำได้ก็คือการผลักดันภาระหน้าที่ให้แรงงานทำงานมากเกินพอดี แลกเปลี่ยนกับเงินเดือนที่ห่างไกลจากความมีเหตุมีผล
กดบ่อยๆยังไม่เพียงพอ รัฐบาลเห็นว่าจำต้องคุ้มครองการยืนขึ้นขึ้นสู้ด้วย จอมพลสฤษดิ์ก็เลยออกประกาศคณะปฏิวัติที่เบรกการบังคับใช้ข้อบังคับที่ทำหน้าที่คุ้มครองปกป้องสิทธิแรงงานอย่างกฎหมายแรงงานสมาคมที่มีตั้งแต่ว่าปี 2499 ด้วย
#ประชาชนจำต้องลุกขึ้นสู้
หากแม้มีสิ่งที่ห้าม แต่ว่าการต่อต้านการกดขี่พร้อมปะทุเสมอ กรรมกรเริ่มนัดหยุดงานกันตั้งแต่ราวปี 2508 และก็รวมตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและก็แล้วพลังของมวลชนก็ยากจะท้วงติง จนถึงในปี 2515 รัฐบาลจำต้องเริ่มขยับ โดยได้ตั้งคณะกรรมการพินิจพิเคราะห์ระบุค่าจ้างขั้นต่ำ และก็ออกประกาศให้ค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากับ 12 บาทต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ 2516 ถึงแบบนั้นเรื่องก็ยังไม่จบ ถึงแม้ว่าจะระบุค่าจ้างขั้นต่ำที่เอาเข้าจริงๆก็เข้าข่ายต่ำมากเมื่อเทียบกับค่ายังชีพ แต่ว่านายหลายรายก็หาได้ใส่ใจไม่
เมื่อระบอบเผด็จการสั่นสะเทือนจากเหตุ 14 เดือนตุลาคม 2516 กระแสนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมก็เลยเติบโตขึ้นเรื่อยนับจากเหตุนั้นจนกระทั่งปลายเดือนพฤศจิกา ยนมีการหยุดงานราว 180 ครั้ง และก็มากขึ้นอีกเป็น 300 ครั้งในเดือนถัดมา โดยการปรากฏนี้เกิดขึ้นอีกทั้งในกรุงเทพมหานคร และก็ต่างจังหวัด
ในเวลาต่อๆมา การคัดค้านผ่านการหยุดงานไม่เพียงแค่ขยายตัวกว้างในเชิงพื้นที่ แต่ว่ายังเกิดขึ้นในหลายชนิดกิจการค้า ตั้งแต่โรงงานทอผ้า อพาร์เม้นท์ ยันกิจการค้าสาธารณูปโภคของเมือง อีกทั้งยังนำมาสู่การก่อตั้งหน่วยงานกรรมกรในรูปแบบสหภาพซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวเป็นระบบและก็ทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงในที่สุด รัฐบาลก็รับปากที่จะพินิจพิเคราะห์ข้อเรียกร้องของกรรมกร ซึ่งประกอบไปด้วยค่าเสียหายเมื่อออกจากงาน และก็การปรับค่าแรงแรงงานอย่างน้อยอันนำมาสู่การประกาศรับรองค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 20 บาทในเขตกรุงเทพมหานคร และก็ละแวกใกล้เคียงในต.ค. 2517 รวมถึงการประกาศใช้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พุทธศักราช 2518 ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้อยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้
พระราชบัญญัตินี้กล่าวถึงการรับรองสิทธิเสรีภาพสำหรับการรวมตัวเป็นสหภาพ เพื่อเจรจาต่อรองกับนาย ทำให้แรงงานสามารถมีปากเสียงกับนาย และก็เรียกร้องให้เกิดการปรับภาวะการจ้างงานที่ยุติธรรมได้
#พรบแรงงานสัมพันธ์ที่จำต้องไปต่อ
ทุกวันนี้เมืองไทยยังคงอยากการลงทุนจากต่างประเทศ โดยใช้เรื่องแรงงานราคาไม่แพงเป็นหนึ่งในแรงจูงใจสำคัญอยู่ ซึ่งไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่ากลุ่มหลักของแรงงานราคาไม่แพงที่ว่าเป็นแรงงานข้ามชาติ
สิ่งที่มีความต้องการของแรงงานข้ามชาติถูกสะท้อนให้มองเห็นผ่านรายงานหลายฉบับ ดังเช่น รายงานของธนาคารโลกปี 2559 ที่ระบุว่าเมืองไทยพึ่งพิงแรงงานข้ามชาติถึงปริมาณร้อยละ 10 ของแรงงานทั้งหมด และก็หน่วยงานเพื่อความร่วมแรงร่วมมือทางเศรษฐกิจและก็การพัฒนา (OECD) ได้คาดคะเนว่าแรงงานข้ามชาติมีส่วนขับเศรษฐกิจถึงปริมาณร้อยละ 4.3-6.6 ของสินค้ามวลรวมในประเทศปี 2560 ฯลฯ
ตัดภาพมาที่ข้อกำหนดกฎหมาย พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พุทธศักราช2518 กล่าวถึงคุณสมบัติของกรรมการสหภาพแรงงานมีกฎระเบียบไว้ว่า ควรเป็นผู้มีชนชาติไทยเท่านั้น
ช่วงเวลา 40 กว่าปีให้หลัง พระราชบัญญัตินี้นำพาความเจริญรุ่งเรืองด้ามจับจำต้องได้มาสู่แรงงานไทยทุกผู้ทุกคน ในขณะเดียวกันข้อมูลที่เป็นปัจจุบันนี้ก็เป็นสักขีพยานว่าถึงเวลาแล้วที่จำต้องปรับแก้เพิ่มเติม พระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ โครงข่ายและก็หน่วยงานแรงงานไทยก็เลยพากเพียรส่งเสริมให้รัฐบาลยืนยันสิทธิตามอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และก็ 98 กล่าวถึงสิทธิการรวมตัวและก็การเจรจาต่อรองโดยไม่มีการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ ซึ่งในที่นี้รวมถึงการจับกลุ่มเป็นสหภาพของแรงงานข้ามชาติในไทยด้วย แม้ว่าจะยังไม่เป็นผลสำเร็จก็ตาม